Newsletter Subscribe

Enter your email address below and subscribe to our newsletter

Subscription Form

9 วิธีเปลี่ยนคอนเทนต์ธรรมดาให้คนรู้สึกมากกว่าเดิม!

  1. ความเป็นฮีโร่ :
    ใช้ประวัติของแบรนด์เล่าเรื่องราว
    .
    การเล่าประวัติของแบรนด์เป็นจุดเริ่มต้นง่ายๆ
    แต่มักดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะถ้ามีการเพิ่มบท “ฮีโร่” ของแบรนด์เข้าไปช่วยต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ของลูกค้าได้
    หรืออีกมุมมองหนึ่ง อาจให้ลูกค้ากลายเป็นฮีโร่
    แล้วแบรนด์ของคุณเป็นผู้ช่วยเหลือเขาให้ประสบความสำเร็จ นั้นก็ยิ่งทำให้เรื่องราวของแบรนด์ดูน่าดึงดูดมากขึ้น
    .
  2. ความกลัว :
    ใช้ประโยชน์จาก Fear of Missing Out (FOMO)
    .
    หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส เพราะไม่มีใครอยากพลาดเรื่องราวดีๆ และกลัวจะกลายเป็นคนที่ไม่สำคัญ สามารถนำไปปรับใช้ได้ โดยการสร้างความรู้สึกวุ่นวายใจหรือเร่งรีบให้กับลูกค้า เพื่อกระตุ้นให้เขาอยากมีส่วนร่วม เช่น โปรโมทสินค้ารุ่นลิมิเต็ด เสนอสิทธิพิเศษในเวลาที่จำกัด หรือการเป็นสมาชิกที่จะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่าลูกค้าทั่วไป
    .
  3. ความรู้สึกพิเศษ :
    ถ่ายทอดให้เห็นว่าใช้สินค้าแบรนด์เรา เขาจะพิเศษกว่าคนอื่น
    .
    ความรู้สึกที่ต้องการความพิเศษ หรือความเป็นเอกลักษณ์
    ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจซื้อได้ ซึ่งเทคนิคการทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษเมื่อใช้แบรนด์เรานั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับตั้งแต่สินค้าแบบ Low Involvement ที่ไม่ต้องใช้เหตุผลในการเลือก แต่จะเน้นมองหาโปรโมชั่นพิเศษ เช่น เสื้อผ้า จนถึงสินค้าแบบ High Involvement
    ที่มีราคาสูงและต้องใช้เหตุผลในการซื้อ อย่าง รถยนต์
    .
  4. ความเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม :
    สร้างสิ่งที่เชื่อมคนให้ผูกติดกับแบรนด์
    .
    การสร้าง Content แบบที่ทำให้ผู้คนรู้สึกได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ช่วยดึงผู้บริโภคให้มีร่วมส่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การนำเสนอว่าแบรนด์เปรียบเสมือนชุมชนหรือกลายเป็นไลฟ์สไตล์แทนที่จะเป็นแค่เพียงธุรกิจ
    เช่น แบรนด์ Apple ที่นำเสนอให้เห็นถึงความเป็นชุมชนที่หรูหรา ฉีกกรอบ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง
    หลายคนเลยคิดว่าการใช้ Apple ถือเป็นส่วนหนึ่ง
    ของการแสดงอัตลักษณ์ของตัวเองออกมา
    .
  5. ความรู้สึกสงสัย :
    โดยการตั้งคำถามจะยิ่งทำให้น่าค้นหามากขึ้น
    .
    พอพูดถึงคำถาม ? ผู้คนก็ต่างอยากรู้คำตอบเหล่านั้น
    ดังนั้นการใช้ชื่อหัวข้อเป็นคำถามก็มักนำคนที่สงสัยเรื่องๆ นั้น เข้ามา “คลิก!” เพื่อหาคำตอบได้อยู่เสมอ พร้อมทั้งยังเพิ่มความลึกลับชวนให้ผู้อ่านที่บังเอิญผ่านมาเจอได้รู้สึกตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นและสนใจตามเข้ามาหาคำตอบเพิ่มอีกด้วย
    .
  6. ความปรารถนา :
    สัญญาว่าจะช่วยให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมาย
    .
    ผู้คนส่วนใหญ่จะผูกติดเป้าหมายไว้กับเรื่องความปรารถนา ความกลัวและการทำให้ตัวเองมีคุณค่า
    จึงควรเสนอ Content ที่เป็นตัวช่วยให้ลูกค้าไปถึงเป้าหมายเหล่านั้น แล้วเขาจะมองว่าคุณเป็นเหมือนเพื่อนและพันธมิตร จนนำมาซึ่งการตัดสินใจซื้อสินค้าของแบรนด์
    สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้ก่อนว่า Target ของแบรนด์คุณ
    เขาต้องการอะไร ? หรือส่วนใหญ่เขามีเป้าหมายเกี่ยวกับเรื่องอะไร
    .
  7. อารมณ์ขัน :
    เพิ่มเรื่องสนุกสร้างความคึกคัก
    .
    การตลาดไม่จำเป็นต้องทำให้จริงจังตลอดเวลา
    เรื่องที่สนุก ขำและให้เสียงหัวเราะเป็นวิธียอดเยี่ยม
    ที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์กับใครบางคนได้อย่างรวดเร็ว
    และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ได้ด้วย
    แต่ต้องจำไว้ว่า แม้ว่าการมีอารมณ์ขันจะมีประโยชน์
    มันก็ควรใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ด้วย
    .
  8. ความรู้สึกประหลาดใจ :
    เปิดมุมมองความเชื่อใหม่ให้ลูกค้า
    .
    หาก Content ของคุณดูซ้ำกับคนอื่นและไม่น่าจดจำมากพอ ให้ลองเพิ่มองค์ประกอบเรื่องความประหลาดใจเข้าไป
    เพราะการท้าทายความคิดของใครบางคนหรือเปลี่ยนความเชื่อในประเด็นของเขา ถือเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้เขาจดจำแบรนด์ได้ เช่น ใช้เรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา หรือความจริงที่ใครๆ รู้แล้วก็ต้องตกใจ
    .
  9. ความรู้สึกร่วมในวัฒนธรรม :
    โดยการใส่ Pop Culture
    .
    หมายถึง การใช้พวกสื่อบันเทิงดังๆ เช่น หนัง เพลงฮิต
    หรืออะไรที่เป็นกระแสในสังคมตอนนี้ ซึ่งจากผลวิจัยของการใช้ Pop Culture ในแคมเปญการตลาดมีความประสบความสำเร็จมากที่สุดถึง 28% Pop Culture จึงช่วยทำให้ Content เป็นที่น่าสนใจยิ่งขึ้น สำหรับคนจำนวนมาก เพราะมันสร้างความรู้สึกร่วมกับพวกเขาได้
    เช่น Google ใช้ภาพยนตร์สุดคลาสสิกเรื่อง Home Alone ในการโปรโมท Google Assistant
    .
    เรื่องที่กระตุ้นให้เกิด Emotion หรืออารมณ์ความรู้สึกร่วม
    ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวก เช่น ความสนุกสนาน ความพิเศษและการเป็นชุมชน หรือเชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลและความกลัวที่จะพลาดโอกาส ถ้านำมาใช้ในการสร้าง Content อย่างถูกจุด คุณก็สามารถทำให้ Content น่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนอาจกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์อีกด้วย Follow Us on Facebook:https://www.facebook.com/share/LW2mUurVcsWfnXUT/?mibextid=qi2Omg