
Newsletter Subscribe
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
Enter your email address below and subscribe to our newsletter
ภาวะประจำเดือนมาผิดปกติ เป็นปัญหาทางนรีเวช ที่พบได้บ่อยมากที่สุด ในกลุ่มสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพทางกายของสตรี ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือเป็นอาการนำของโรคร้ายแรงได้ อาการเริ่มต้นที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ คือภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งการประเมินผู้ป่วยจากการซักประวัติ และการตรวจร่างกาย จะนำไปสู่การหาว่าสาเหตุว่า เลือดออกจากอวัยวะใด ตั้งแต่ ปากช่องคลอด ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ หรือ อวัยวะข้างเคียงที่ไม่ใช่อวัยวะเพศ ได้แก่ ทวารหนัก และ กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
ก่อนอื่นจะกล่าวนำถึงภาวะประจำเดือนที่ปกติของสตรีวัยเจริญพันธุ์ก่อนดังนี้ ความถี่ของรอบเดือนปกติ จะอยู่ในช่วง 24-38 วัน ระยะเวลาของรอบเดือนจะมีเลือดประจำเดือนคือ 4.5-8 วัน และปริมาณประจำเดือน 5-80 มิลลิลิตร ต่อรอบเดือน หากไม่เข้าเกณฑ์ดังนี้ ถือว่ามีความผิดปกติ สมควรแก่การพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป
สาเหตุที่พบได้บ่อย
1.สาเหตุทางกายภาพ (structural abnormalities)
1.1 ติ่งเนื้อ (polyps)
เป็นติ่งเนื้อของเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial polyps) หรือ ติ่งเนื้อของปากมดลูก (cervical polyps) เกิดขึ้นจากการเติบโต ซ่อมแซม ของเยื่อบุผิว ที่รวดเร็วมากเกินไป อาจส่งผลมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนร่างกาย วินิจฉัยจากการตรวจ ultrasound หรือการส่องกล้องผ่าทางโพรงมดลูก ( hysteroscopy ) โดยมีผลตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา (histopathology)
1.2 กล้ามเนื้อมดลูกหนาตัว (adenomyosis)
เป็นกลุ่มโรคที่ผู้ป่วยจะมาตรวจด้วยอาการปวดประจำเดือนมากร่วมกับอาจมีประจำเดือนมามากขึ้นเดิมการวินิจฉัยต้องอาศัยผลจากชิ้นเนื้อจากการตัดมดลูกว่ามีลักษณะของเยื่อบุโพรงมดลูกแทรกอยู่ภายในกล้ามเนื้อมดลูก หรือสามารถตรวจได้จากอัลตราซาวด์ เพื่อดูลักษณะเฉพาะของเนื้อมดลูกที่พบในกลุ่มนี้ได้
1.3 ก้อนเนื้อของมดลูก (Leiomyomas)
เป็นเนื้องอกมดลูกที่ไม่ค่อยมีอาการ ในบางรายอาจมีเลือดออกมากกว่าปกติ ปวดท้องจากก้อนเนื้อที่มีขนาดใหญ่และขาดเลือด หรือทำให้เกิดภาวะโลหิตจางในสตรีได้ พบได้บ่อยในผู้ป่วยวัยเจริญพันธุ์ โดยพบมากถึง 1 ใน 3 ของผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป และพบมากถึง 70% เมื่ออายุถึง 50 ปี มักเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมน กระตุ้นกล้ามเนื้อมดลูก เปลี่ยนสภาพเป็นก้อนเนื้อที่มีความแข็งตัว ก้อนมีขอบเขตชัดเจน แทรกอยู่ภายในกล้ามเนื้อมดลูก
1.4 กลุ่มมะเร็ง และภาวะก่อนมะเร็ง (Malignancy and pre-malignant conditions)
เป็นสาเหตุที่พบได้น้อย แต่มีความสำคัญต่อการรักษา แพทย์จึงต้องแยกภาวะนี้ออกมาให้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่ไม่เคยได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ภาวะไข่ไม่ตก หรือผู้ที่เป็นเบาหวาน จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งทางนรีเวชบางชนิดเพิ่มสูงขึ้น
2.สาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ทางกายภาพ (non-structural cause)
2.1 โรคความผิดปกติทางการแข็งตัวของเลือด (Coagulopathies)
กลุ่มโรคที่รบกวนการแข็งตัวของเลือดการทำงานของเกล็ดเลือดพบว่าผู้ป่วยที่มีภาวะประจำเดือนมามากกว่าปกติ จะตรวจพบความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือดได้ประมาณ 13% ซึ่งโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ vWD (Von Willebrand disease ) โดยประมาณ 90% สามารถซักประวัติเพื่อค้นหาผู้ป่วยและส่งตรวจเพิ่มเติมต่อไปได้
2.2 ภาวะไข่ตกผิดปกติ (Ovulatory dysfunction)
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มช่วงเริ่มมีประจำเดือน และช่วงใกล้หมดประจำเดือน โดยผู้ป่วยจะมีประจำเดือนผิดปกติ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนมามาก อาการแสดงมีตั้งแต่ ประจำเดือนขาด มาเล็กน้อย มาไม่สม่ำเสมอ จนถึงมามากจนเกิดภาวะซีด โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นภาวะอ้วน, ภาวะเครียด, ร่ายกายมีความเจ็บป่วยเรื้อรัง, ภาวะซูบผอมน้ำหนักลดผิดปกติ, การออกกำลังกายอย่างหนัก, ภาวะโรคทางต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์ โพรแลคติน หรืออาจเกิดจากการรักษาการใช้ยาสเตียรอยด์ หรือยาระบบประสาท ทำให้เกิดภาวะไข่ไม่ตกได้
2.3 ปัจจัยจากผนังเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial)
สาเหตุจากเยื่อบุโพรงมดลูกที่ทำให้เกิดประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เกิดจากปัจจัยภายในโพรงมดลูกเอง เช่น ภาวะอักเสบรุนแรงช่วงประจำเดือน ภาวะการติดเชื้อภายในโพรงมดลูกเช่น Chlamydia trachomatis , การซ่อมแซม หรือการแข็งตัวของเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ ซึ่งโดยตัวพยาธิสภาพที่มีบางครั้งไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่ทำให้เกิดประจำดือนมามากได้ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการยืนยันการวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นจึงเป็นการวินิจฉัยหลังจากทำการแยกโรคอื่นไปแล้ว
2.4 จากการใช้ยา หรือจากการทำหัตถการ ทางการแพทย์ (Iatrogenic causes)
เป็นสาเหตุที่เกิดจากการใช้ยา การทำหัตถการ หรือการใช้อุปกรณ์ในทางการแพทย์ เพื่อทำการรักษา ที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูก เช่นการใช้ยาฮอร์โมนเพื่อการคุมกำเนิดทั้งยาคุมกำเนิดชนิดกินชนิดฉีดชนิดฝังหรือห่วงคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจน ซึ่งพบบ่อยว่ามีเลือดออกกระปริดกระปรอยได้ในช่วง 6 เดือนแรกของการใช้ห่วงคุมกำเนิด การใช้ยากลุ่มgonadotropin-releasing hormone therapy, aromatase inhibitors, selective estrogen receptor modulators ( SERMs ) หรือ progesterone receptor modulators ก็อาจเป็นสาเหตุของเลือดออกผิดปกติได้
2.5 ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ (Notyet classified)
ในผู้ป่วยบางรายที่เราไม่สามารถจัดกลุ่มแยกสาเหตุของภาวะเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกได้ไม่ว่าจากการจำกัดความที่ไม่ชัดเจนความจำกัดในการส่งตรวจเพิ่มเติม หรือความผิดปกติจากระบบชีวเคมี อื่นๆที่ยังไม่สามารถตรวจยืนยันได้ในปัจจุบัน ซึ่งในอนาคตสาเหตุในกลุ่มนี้อาจแยกได้ชัดเจนขึ้นต่อไป เมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติม
จากสาเหตุเบื้องต้นที่กล่าวมา เมื่อสตรีที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือนที่มาผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อได้รับการประเมิน ตรวจหาสาเหตุ โดยการตรวจภายใน อัลตราซาวด์ และ/หรือส่งตรวจเลือดตามความจำเป็นของคนไข้ในแต่ละราย เพื่อที่จะได้ทำการรักษาอย่างเป็นขั้นตอนจากโรคหรือภาวะที่ตรวจพบ เพื่อสุขภาพที่ดี เพิ่มคุณภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน ลดอาการรบกวนที่ไม่พึงประสงค์ และเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีโรคร้ายแรงแทรกซ้อนอยู่ในร่างกาย
นพ.นพเมศฐ์ ศรีจารุสิทธิ์
แพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา และ มะเร็งวิทยานรีเวช
โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
อ่านเพิ่ม กด https://www.bossbureau.com/Health & Beauty/